วันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2554

สมดุลคือ

คำว่าสมดุล (Balance) ใน BSC หมายถึงอะไร
คำว่าสมดุล (Balance) ใน BSC หมายถึงอะไร
ด้วยเหตุที่หลายครั้งผู้พัฒนาและติดตั้ง BSC ในแต่ละองค์กรนั้น มุ่งแต่จะพยายามเติมเต็มมุมมองการพัฒนาทั้ง 4 ด้าน (C-L-I-F) เท่านั้น โดยละเลยประเด็นที่ว่า แม้ว่าจะทำให้ทั้ง4 มุมมองนั้นครบถ้วน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ความสมดุลตามความมุ่งหมายของ BSC จะเกิดขึ้นได้     ความสมดุลนี้พึงต้องระลึกไว้อยู่เสมอในขณะพัฒนาและติดตั้ง BSC ว่าความสมดุลตามความมุ่งมาดคาดหมายของ BSC คือ ความสมดุล (Balance) ระหว่าง
·         จุดมุ่งหมาย (Objective) : ระยะสั้นและระยะยาว (Short - and Long - Term)
·         การวัดผล (Measure) : ทางด้านการเงินและไม่ใช่การเงิน (Financial and Non-Financial)
·         ดัชนีชี้วัด (Indicator) : เพื่อการติดตามและการผลักดัน (lagging and Leading)
·         มุมมอง (Perspective) : ภายในและภายนอก (Internal and External)
ซึ่งแน่นอนว่า หาก BSC ที่ทำการพัฒนาขึ้นและใช้ในองค์กร ไม่ได้พยายามทำให้เกิดความสมดุลดังกล่าวข้างต้น ก็ย่อมคาดหวังผลประโยชน์จากการทำ BSC ไม่ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

เนื้อหาblog

Blog คืออะไร

มารู้จักความหมาย ของประโยคคำถาม ที่มักจะมีคนถามผมบ่อย ๆ เวลาไปบรรยายตามที่ต่าง ๆ ว่า “Blog คืออะไร” กันดีกว่าครับ
Blog มาจากศัพท์คำว่า WeBlog บางคนอ่านคำ ๆ นี้ว่า We Blog บางคนอ่านว่า Web Log แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้งสองคำบ่งบอกถึงความหมายเดียวกัน ว่านั่นคือบล็อก (Blog)
ความหมายของคำว่า Blog ก็คือการบันทึกบทความของตนเอง (Personal Journal) ลงบนเว็บไซต์ โดยเนื้อหาของ blog นั้นจะครอบคลุมได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวส่วนตัว หรือเป็นบทความเฉพาะด้านต่าง ๆ เช่น เรื่องการเมือง เรื่องกล้องถ่ายรูป เรื่องกีฬา เรื่องธุรกิจ เป็นต้น โดยจุดเด่นที่ทำให้บล็อกเป็นที่นิยมก็คือ ผู้เขียนบล็อก จะมีการแสดงความคิดเห็นของตนเอง ใส่ลงไปในบทความนั้น ๆ โดยบล็อกบางแห่ง จะมีอิทธิพลในการโน้มน้าวจิตใจผู้อ่านสูงมาก แต่ในขณะเดียวกัน บางบล็อกก็จะเขียนขึ้นมาเพื่อให้อ่านกันในกลุ่มเฉพาะ เช่นกลุ่มเพื่อน ๆ หรือครอบครัวตนเอง
มีหลายครั้งที่เกิดความเข้าใจกันผิดว่า Blog เป็นได้แค่ไดอารี่ออนไลน์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไดอารี่ออนไลน์เปรียบเสมือน เนื้อหาประเภทหนึ่งของบล็อกเท่านั้น เพราะบล็อกมีเนื้อหาที่หลากหลายประเภท ตั้งแต่การบันทึกเรื่องส่วนตัวอย่างเช่นไดอารี่ หรือการบันทึกบทความที่ผู้เขียนบล็อกสนใจในด้านอื่นด้วย ที่เห็นชัดเจนคือ เนื้อหาบล็อกประเภท วิจารณ์การเมือง หรือการรีวิวผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ตัวเองเคยใช้ หรือซื้อมานั่นเอง อีกทั้งยังสามารถ แตกแขนงไปในเนื้อหาในประเภทต่าง ๆ อีกมากมาย ตามแต่ความถนัดของเจ้าของบล็อก ซึ่งมักจะเขียนบทความเรื่องที่ตนเองถนัด หรือสนใจเป็นต้น
จุดเด่นที่สุดของ Blog ก็คือ มันสามารถเป็นเครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่ง ที่สามารถสื่อถึงความเป็นกันเองระหว่างผู้เขียนบล็อก และผู้อ่านบล็อกที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ที่ชัดเจนของบล็อกนั้น ๆ ผ่านทางระบบ comment ของบล็อกนั่นเอง
ในอดีตแรกเริ่ม คนที่เขียน Blog นั้นยังทำกันในระบบ Manual คือเขียนเว็บเองทีละหน้า แต่ในปัจจุบันนี้ มีเครื่องมือหรือซอฟท์แวร์ให้เราใช้ในการเขียน Blog ได้มากมาย เช่น WordPress, Movable Type เป็นต้น
ผู้คนหลายล้านคนจากทั่วทุกมุมโลก หันมาเขียน Blog กันอย่างแพร่หลาย ตั้งแต่นักเรียน อาจารย์ นักเขียน ตลอดจนถึงระดับบริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดหุ้น NasDaq
เมื่อสองสามปีที่ผ่านมา Blog เริ่มต้นมาจาก การเขียนเป็นงานอดิเรก ของกลุ่มสื่ออิสระต่าง ๆ หลาย ๆ แห่งกลายเป็นแหล่งข่าวสำคัญ ให้กับหนังสือพิมพ์หรือสำนักข่าวชั้นนำ จวบจนกระทั่งปี 2004 คนเขียน Blog ก็ได้รับการยอมรับจากสื่อและสำนักข่าวต่าง ๆ ถึงความรวดเร็วในการให้ข้อมูล ตั้งแต่เรื่องการเมือง ไปจนกระทั่ง เรื่องราวของการประชุม ระดับชาติ
และจากเหตุการณ์เหล่านี้ นับได้ว่า Blog เป็นสื่อชนิดหนึ่งที่ไม่ต่างจาก วีดีโอ , สิ่งพิมพ์ , โทรทัศน์ หรือแม้กระทั่งวิทยุ เราสามารถเรียกได้ว่า Blog ได้เข้ามาเป็นสื่อชนิดใหม่ ที่สำคัญอย่างแท้จริง
สรุปให้ง่าย ๆ สั้น ๆ ก็คือ Blog คือเว็บไซต์ ที่มีรูปแบบเนื้อหา เป็นเหมือนบันทึกส่วนตัวออนไลน์ มีส่วนของการ comments และก็จะมี link ไปยังเว็บอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย
อ่านจบบทความนี้ คิดว่าหลาย ๆ ท่านน่าจะเข้าใจว่า Blog คืออะไร เพิ่มขึ้นมากแล้วนะครับ

นานาสาระ

ตำนานดอกกุหลาบ

ดอกกุหลาบ                กุหลาบเป็นดอกไม้ที่นิยมปลูกไว้ชื่นชมมาแต่โบราณ ประมาณกันว่ากุหลาบเกิดขึ้นเมื่อกว่า 70 ล้านปีมาแล้ว เคยมีการค้นพบฟอสซิลของกุหลาบใน รัฐโคโลราโด และ รัฐโอเรกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา และได้พิสูจน์ว่ากุหลาบป่าเป็นพืชที่มีอายุถึง 40 ล้านปี แต่กุหลาบป่าสมัยโลกล้านปีนี้ มีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกุหลาบสมัยนี้ เนื่องจากมนุษย์ได้นำเอากุหลาบป่ามาปลูกและผสมพันธุ์ ขยายพันธุ์เป็นพันธุ์ต่างๆ มากมาย

               ความจริงแล้วกำเนิดของกุหลาบหรือกุหลาบป่านี้มีเฉพาะในแถบบริเวณเหนือเส้นศูนย์สูตรของโลกเท่านั้น คือกำเนิดในภาคกลางของทวีปเอเชีย แล้วแพร่ขยายพันธุ์ไปตลอดซีกโลกเหนือ ไม่ว่าจะเป็นแถบที่มีอากาศหนาวจัดอย่าง อาร์กติก อลาสก้า ไซบีเรีย หรือแถบอากาศร้อนอย่าง อินเดีย แอฟริกาเหนือ แต่ในบริเวณแถบใต้เส้นศูนย์สูตรอย่างทวีปออสเตรเลีย หรือเกาะต่างๆ ในมหาสมุทรรวมทั้งแอฟริกาใต้ ไม่เคยมีปรากฏว่ามีกุหลาบป่าเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเลย

ดอกกุหลาบ                ตามประวัติศาสตร์เล่าว่า กุหลาบป่าถูกนำมาปลูกไว้ในพระราชวังของจักรพรรดิจีน ในสมัยราชวงศ์ฮั่นราว 5,000 ปีมาแล้ว ขณะที่อียิปต์เองก็ปลูกกุหลาบเป็นไม้ดอก ส่งไปขายให้แก่ชาวโรมัน ชาวโรมันเป็นชาติที่รักดอกกุหลาบมากถึงจะสั่งซื้อจากประเทศอียิปต์แล้ว ยังลงทุนสร้างเนอร์สเซอรี่ขนาดใหญ่สำหรับปลูกดอกกุหลาบอีกด้วย สำหรับชาวโรมันแล้วเรียกได้ว่าดอกกุหลาบมีความสำคัญกับชีวิตประจำวัน เพราะชาวโรมันถือว่าดอกกุหลาบเป็นสัญลักษณ์ของความรัก ซึ่งเป็นทั้งของขวัญ เป็นดอกไม้สำหรับทำเป็นมาลัยต้อนรับแขก เป็นดอกไม้สำหรับงานเฉลิมฉลองต่างๆ ใช้เป็นส่วนประกอบสำหรับทำขนม ทำไวน์ ส่วนน้ำมันกุหลาบยังใช้ทำเป็นยาได้อีกด้วย

               กุหลาบถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักและความโรแมนติก ซึ่งมีบางตำนานเล่าว่า ดอกกุหลาบเป็นเสมือนเครื่องหมายแทนการกำเนิดของ เทพธิดาวีนัส ซึ่งเป็นเทพแห่งความงาม และความรัก วีนัสเป็นที่รู้จักกันในชื่อ อโฟรไดท์ ในตำนานเทพของกรีกได้กล่าวไว้ว่า น้ำตาของเธอหยดลงปะปนกับเลือดของ อคอนิส คนรักของเธอที่ถูกหมูป่าฆ่า เลือดและน้ำตาหยดลงสู่พื้นแล้วกลายเป็นดอกไม้สีแดงเข้มหรือดอกกุหลาบนั่นเอง แต่บางตำนานก็เล่าว่าดอกกุหลาบเกิดจากเลือดของ อโฟรไดท์ เองที่หยดลงสู่พื้น เมื่อเธอแทงตัวเองด้วยหนามแหลม

ดอกกุหลาบ                บางตำนานกล่าวว่ากุหลาบเกิดจากการชุมนุมของบรรดาทวยเทพ เพื่อประทานชีวิตใหม่ให้กับนางกินรีนางหนึ่ง ซึ่งเทพธิดาแห่งบุปผาชาติ หรือ คลอริส บังเอิญไปพบนางนอนสิ้นชีพอยู่ ในตำนานนี้กล่าวว่า อโฟรไดท์ เป็นเทพผู้ประทานความงามให้ มีเทพอีกสามองค์ประทานความสดใส เสน่ห์ และความน่าอภิรมย์ และมี เซไฟรัส ซึ่งเป็นลมตะวันตกได้ช่วยพัดกลุ่มเมฆ เพื่อเปิดฟ้าให้กับแสงของเทพ อพอลโล หรือแสงอาทิตย์ส่องลงมาเพื่อประทานพรอมตะ จากนั้น ไดโอนีเซียส เทพเจ้าแห่งเหล้าองุ่นก็ประทานน้ำอมฤต และกลิ่นหอม เมื่อสร้างบุปผาชาติดอกใหม่นี้ขึ้นมาได้แล้ว เทพทั้งหลายก็เรียกดอกไม้ซึ่งมีกลิ่นหอมและทรงเสน่ห์นี้ว่า Rosa จากนั้น เทพธิดาคลอริส ก็รวบรวมหยดน้ำค้างมาประดับเป็นมงกุฎ เพื่อมอบให้ดอกไม้นี้เป็นราชินีแห่งบุปผาชาติทั้งมวล จากนั้นก็ประทานดอกกุหลาบให้กับเทพ อีโรส ซึ่งเป็นเทพแห่งความรัก กุหลาบจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความรัก แล้วเทพ อีโรส ก็ประทานกุหลาบนี้ให้แก่ ฮาร์โพเครติส ซึ่งเป็นเทพแห่งความเงียบ เพื่อที่จะเก็บซ่อนความอ่อนแอของทวยเทพทั้งหลาย ดอกกุหลาบจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเงียบและความเร้นลับอีกอย่างหนึ่ง

               กุหลาบกลายเป็นของขวัญ ของกำนัลสำหรับการแสดงความรัก และมักจะมีผู้เปรียบเทียบความงามของผู้หญิงเป็นเสมือนดอกกุหลาบ และผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์โลกที่ได้รับสมญาว่าเป็นผู้หญิงงามเสมือนดอกกุหลาบคือ พระนางคลีโอพัตรา ซึ่งพระนางยังได้เคยต้อนรับ มาร์ค แอนโทนี คนรักของพระนาง ในห้องซึ่งโรยด้วยดอกกุหลาบหนาถึง 18 นิ้ว หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นกุหลาบ

 

ดอกกุหลาบตำนานดอกกุหลาบในเมืองไทย

               กุหลาบมาจากคำว่า "คุล" ในภาษาเปอร์เชีย แปลว่า "สีแดง ดอกไม้ หรือดอกกุหลาบ" และเข้าใจว่าจากเปอร์เซียได้แพร่เข้าไปในอินเดีย เพราะในภาษาฮินดีมีคำว่า "คุล" แปลว่า "ดอกไม้" และคำว่า "คุลาพ" หมายถึงกุหลาบอย่างที่ไทยเราเรียกกัน แต่ออกเสียงเป็น "กุหลาบ"  ส่วนคำว่า "Rose" ในภาษาอังกฤษนั้นมาจากคำว่า "Rhodon" ที่แปลว่ากุหลาบในภาษากรีก

ดอกกุหลาบ                กุหลาบเข้ามาเมืองไทยสมัยใดไม่ทราบแน่ชัด แต่จากบันทึกของ ลา ลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช บันทึกไว้ว่าได้เห็นกุหลาบที่กรุงศรีอยุธยา และที่แน่นอนอีกแห่งก็คือ ในกาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศกสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นพระนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ กล่าวถึงกุหลาบไว้ว่า

        กุหลาบกลิ่นเฟื่องฟุ้ง
หอมรื่นชื่นชมสอง
นึกกระทงใส่พานทอง
หยิบรอจมูกเจ้า

 

เนืองนอง
สังวาส
ก่ำเก้า
บ่ายหน้าเบือนเสีย

               สำหรับตำนานดอกกุหลาบของไทยเล่ากันว่า เป็นบทละครพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 6 เรื่อง มัทนะพาธา ในเรื่องเล่าถึงเทพธิดาองค์หนึ่งชื่อ "มัทนา" ซึ่งนางได้มีเทพบุตรองค์หนึ่งชื่อ "สุเทษณะ" ซึ่งพระองค์ทรงหลงรักเทพธิดา "มัทนา" มากแต่นางไม่มีใจรักตอบ จึงถูกสาบให้ไปเกิดเป็นดอกกุหลาบ จึงกลายเป็นตำนานดอกกุหลาบแต่นั้นมา


กุหลาบกุหลาบขาว กับ กุหลาบแดง สีไหนเกิดก่อน ?

               มีหลายตำนานเล่าถึงการเกิดกุหลาบสีขาวและกุหลาบสีแดงไว้แตกต่างกัน ตำนานหนึ่งเล่าว่า กุหลาบขาว เกิดขึ้นก่อน กุหลาบแดง เดิมทีมีนกไนติงเกลตัวหนึ่งมาหลงรักเจ้าดอกกุหลาบขาวแสนสวย ขณะที่มันกำลังจะโอบกอดดอกกุหลาบด้วยความรักนั้นเอง หนามกุหลาบก็ทิ่มแทงที่หน้าอกของมัน หยดเลือดของเจ้านกไนติงเกลเลยทำให้ดอกกุหลาบสีขาวกลายเป็นสีแดง เลยมีดอกกุหลาบสีแดงนับแต่นั้นเป็นต้นมา ส่วนอีกตำนานหนึ่งก็เล่าว่ากุหลาบสีแดงใน สวนอีเดน เกิดจาการจุมพิตของ อีฟ เจ้าดอกกุหลาบขาวที่หญิงสาวจุมพิต เลยเกิดอาการขวยเขินจึงเปลี่ยนเป็นสีแดง

               นอกจากนี้ ความหมายของความรักในศาสนาคริสต์ ถือว่ากุหลาบสีขาวแทนความบริสุทธิ์ของ พระแม่มาเรีย และกุหลาบสีแดงเกิดจากหยาดพระโลหิตของ พระเยซูเจ้า เมื่อถูกสวมมงกุฎหนาม มันจึงเป็นสัญลักษณ์ของผู้ประกาศศาสนาที่พลีชีพเพื่อพระผู้เป็นเจ้า


กุหลาบสีกุหลาบสื่อความหมาย

               ในวันวาเลนไทน์ ซึ่งเป็นวันแห่งความรัก ดอกกุหลาบถือเป็นสัญลักษณ์ และของกำนัลของวันนี้ ดังนั้นเวลาที่คิดจะให้ดอกกุหลาบแก่ใครสักคน เราก็น่าจะรู้ความหมายของสีอันเป็นสื่อความหมายของดอกกุหลาบไว้บ้างก็น่าจะดี ซึ่งก็จะมีความดังนี้

  • สีแดง สื่อความหมายถึง ความรักและความปรารถนา เป็นดอกไม้ของกามเทพ คิวปิด และอีรอส เป็นสิ่งนำโชคนำความรักมาให้แก่หญิงหรือชายที่ได้รับ
  • สีชมพู สื่อความหมายถึง ความรักที่มีความสุขอย่างสมบูรณ์
  • สีขาว สื่อความหมายถึง ความมีเสน่ห์ ความบริสุทธิ์ มิตรภาพ และความสงบเงียบ และนำโชคมาให้แก่หญิงหรือชายเช่นเดียวกับกุหลาบแดง
  • ดอกกุหลาบสีเหลือง สื่อความหมายถึง เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเสมอนะ
  • สีขาวและแดง สื่อความหมายถึง ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
  • กุหลาบตูม สื่อความหมายถึง ความงามและความเยาว์วัย

ดอกกุหลาบช่อกุหลาบสื่อความหมาย

               จำนวนดอกกุหลาบในช่อก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สื่อความหมายได้เช่นกัน และในวันวาเลนไทน์หรือวันไหนๆ ถ้าคุณได้ช่อดอกกุหลาบจากใครสักคน เค้าคนนั้นอาจกำลังต้องการสื่อความหมายอะไรบางอย่างให้คุณรู้ก็เป็นได้

ความรู้วิทยาศาสตร์


พันธะไอออนิก

พันธะโควาเลนต์




พันธะไฮโดรเจน

DNA


RNA

Lipid
3.สารเคมีในเซลล์ของสิ่งมีชีิวิต
ธาตุทั้งหลายประกอบด้วยหน่วยขนาดเล็กเรียกว่าอะตอม (ATOM)ภายในอะตอมประกอบด้วยอนุภาคมูลฐานคือ
-       นิวเคลียส ประกอบด้วยโปรตอนและนิวตรอน
-       อิเล็กตรอนเป็นอนุภาคที่เคลื่อนทีวนอยู่รอบๆนิวเคลียส
ตามปกติอะตอมของธาตุชนิดเดียวกันทุกอะตอมจะมีจำนวนโปรตอนและอิเล็กตรอนเท่ากัน

พันธะเคมี(CHEMICAL BOND) แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ
1.     พันธะไอออนิก (IONIC BOND) เช่น พันธะในโมเลกุลของโซเดียมคลอไรด์(Nacl)
2.     พันธะโควาเลนต์(COVALENT BOND) เช่นพันธะในโมเลกุลองก๊าซออกซิเจน(O2)
3.     พันธะไฮโดรเจน (HYDROGEN BOND) เช่น แรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลของน้ำ (H2O)









สารในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต

-       สารอินทรีย์ คือ สารที่ประกอบด้วยธาตุคาร์บอนและไฮโดรเจนเป็นส่วนใหญ่
-       สารชีวโมเลกุล คือ สารอินทรีย์ที่มีโมเลกุลใหญ่และโครงสร้างสลับ ซับซ้อนแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ๆ คือ คาร์โบไฮเดรต ไขมัน โปรตีน และ กรดนิวคลีอิก

1.     คาร์โบไฮเดรต แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
            น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว (MONOSACCHARIDE) มีคาร์บอนเป็นองค์ประกอบ 3-7 อะตอม ได้แก่ กลีเซอรอลดีไฮด์ (3C) ไรโบส(5C) กลูโคส ฟรุกโทส และกาแลกโทส(6C)
            โอลิโกแซคคาไรด์ (OLIGOSACCHARIDE) ประกอบด้วยน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว 2-10 โมเลกุลที่พบบ่อยมากที่สุดได้แก่มอลโทส(กลูโคส + กลูโคส) ซูโครส(กลูโคส + ฟรุกโทส)และ แลกโทส(กลูโคส + กาแลกโทส)
            น้ำตาลโมเลกุลใหญ่ (POLYSACCHARIDE) ประกอบด้วยกลูโคส 100-1,000 โมเลกุล มาต่อกันเป็นสาย ได้แก่ แป้ง เซลลูโลส และ ไกลโคเจนเป็นต้น

ข้อสังเกต
        โอลิโกแซคคาไรด์ และน้ำตาลโมเลกุลใหญ่ จะมีกลูโคส เป็นองค์ประกอบอยู่ด้วยเสมอ

ความสำคัญของคาร์โบไฮเดรต
1.    เป็นแหล่งพลังงานหลักของเซลล์สิ่งมีชีวิต
2.    เปลี่ยนเป็นสารอื่นเพื่อช่วยซ่อมแซมหรือสร้างส่วนต่างๆของเซลล์
3.    เก็บสะสมไว้ในรูปของไกลโคเจน เพื่อไว้ใช้ในยามร่างกายขาดแคลนพลังงาน

ตัวอย่างข้อสอบ
สารใดบ้างที่เมื่อย่อยเป็นโมเลกุลเดี่ยวแล้ว สามารถทำปฏิกิริยากับสารละลายเบเนดิกต์
1.      FRUCTOSE
2.      MALTOSE
3.      SUCROSE
4.      GLYCOGEN
ก.       1,3
ข.       2,3
ค.       2,4
ง.       2,3,4
ตอบ ง.
ไขมัน (LIPID)
        ไขมันแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ
1.     ไขมันธรรมดา (SIMPLE LIPID) เกิดจากกลีเซอรอล 1 โมเลกุลรวมตัวกับกรดไขมัน 1,2 หรือ 3 โมเลกุล กรดไขมันแบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ
-               กรดไขมันอิ่มตัว มีพันธะระหว่างคาร์บอนภายในโมเลกุลเป็นพันธะเดี่ยวทั้งหมด พบในน้ำมันสัตว์ และน้ำมันมะพร้าว
-               กรดไขมันไม่อิ่มตัว มีพันธะระหว่างคาร์บอนภายในโมเลกุลเป็นพันธะคู่อย่างน้อย 1 ตำแหน่ง พบในน้ำมันพืช
2.     ไขมันเชิงประกอบ (COMPOUND LIPID) เป็นไขมันที่มีสารอินทรีย์ ประเภทอื่นเป็นองค์ประกอบ เช่น ฟอสโฟลิปิด ไกลโคลิปิด และ ลิโปโปรตีน เป็นต้น
3.     อนุพันธ์ของไขมัน (DERIVED LIPID) เป็นสารที่มีคุณสมบัติเหมือนไขมัน แต่มีโครงสร้างพื้นฐานแตกต่างจากไขมันทั่วไป เช่น คลอเรสเตอรอล มีโครงสร้างพื้นฐานที่เฉพาะตัวเป็นวงแหวน 4 วงต่อกัน

ข้อควรจำ
        กรดไขมันที่จำเป็น (ESSENTIAL FATTY ACID) เป็นกรดไขมันที่ร่างกายขาดไม่ได้ และไม่สามารถสังเคราะห์ได้ เช่น กรดไลโนเลอิก กรดไลโนเลนิก และ กรดอะราชิโดนิก เป็นต้น

ความสำคัญของไขมัน
1.     เป็นสารที่ให้พลังงานสูงที่สุดคือ 9.0 กิโลแคลอรี่ต่อกรัม
2.     เป็นตัวที่ทำละลายวิตามิน เช่น A,D,E,K

โปรตีน
         โปรตีนประกอบขึ้นจากกรดอะมิโนเรียงต่อกันเป็นสายยาว ด้วยพันธะเปปไทด์ กรดอะมิโนมีทั้งสิ้น 20 ชนิด แบ่งออกเป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นและกรดอะมิโนที่ไม่จำเป็น กรดอะมิโนที่จำเป็น กรดอะมิโนที่ไม่
จำเป็น


** อาร์จีนีน และ ฮีสทิดีน เป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็ก
ความสำคัญ
1.     เป็นโครงสร้างของเซลล์
2.     ให้พลังงานแก่ร่างกายประมาณ 4.2 กิโลแคลอรี่ต่อกรัม
3.     ควบคุมการทำงานของร่างกายเช่น ฮอร์โมนอินซูลิน
4.     เป็นภูมิคุ้มกัน

ข้อควรจำ
การทดสอบอาหาร


กรดนิวคลิอิก
        กรดนิวคลิอิกเป็นสารที่ทำหน้าที่เก็บและถ่ายทอดข้อมูลทางพันธุกรรมจากรุ่นหนึ่งไปสู่รุ่นต่อไป แบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ
-             DNA (DEOXYRIBONUCLE ACID)
-            RNA (RIBONUCLEIC ACID)

ปฏิกิริยาเคมีในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต
ปฏิกิริยาในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
1.    ปฏิกิริยาคายพลังงาน (EXERGONIC REACTION)
2.    ปฏิกิริยาดูดพลังงาน (ENDERGONIC REACTION)

ตัวอย่างข้อสอบ
         ปฏิกิริยาการสังเคราะห์ด้วยแสงเป็นปฏิกิริยาชนิดใด
ก.      ปฏิกิริยาคายพลังงานหรือเอนเดอร์โกนิก
ข.      ปฏิกิริยาคายพลังงานหรือเอกเซอร์โกนิก
ค.      ปฏิกิริยาดูดพลังงานหรือเอนเดอร์โกนิก
ง.      ปฏิกิริยาดูดพลังงานหรือเอกเซอร์โกนิก
ตอบ ค.

เอนไซม์
     เอนไซม์ เป็นสารอินทรีย์ประเภทโปรตีนที่ทำหน้าที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาเคมีในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต โดยการลดระดับพลังงานกระตุ้นลง ทำให้เกิดปฏิกิริยาง่ายขึ้น คุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของเอนไซม์คือ มีความเฉพาะเจาะจง(SPECIFICITY) เอนไซม์จะทำหน้าที่ได้ดีที่อุณภูมิและความเป็น กรด-เบสที่เหมาะสม

ตัวอย่างข้อสอบ
         คุณลักษณะใดของเอนไซม์ที่สำคัญต่อการเกิดปฏิกิริยาเคมี
ก.       เป็นโปรตีน
ข.       ทำงานได้ดีที่อุณหภูมิจำกัด
ค.       ทำงานได้ดีในสภาพที่เป็นกลาง
ง.       ช่วยให้เกิดปฏิกิริยาเคมีได้ง่ายขึ้น
ตอบ ง.

แก้ข้อสอบ

   เเก้ข้อสอบ
 
1. วัตถุก้อนหนึ่งมวล  80  N   ผูกไว้กับเชื่อเบายาว 1 เมตร   เมื่อออกแรงดึงวัตถุในทิศขนานกับพื้นระดับจนเชื่อกทำมุม  30 0  กับแนวดิ่ง  จงหาขนาดของแรงดึง  และตึงในเส้นเชือก 




2. วัตถุหนัก 50  N วางอยู่บนพื้นราบมีค่าสัมประสิทธิ์ความเสียดทาน 0.5 ถ้าออกแรงดึงวัตถุนี้ในทิศทำมุม 60 0 กับพื้นระดับปรากฏว่าวัตถุเริ่มจะเคลื่อนที่พอดี จงหาขนาดของแรงดึง  และแรงปฎิกิริยาของพื้น